คนโง่ คนฉลาด คนเจ้าปัญญา

โดยท่าน ไชย ณ พล อัครศุภเศรษฐ์

เมื่อทราบถึงพฤติกรรมคนโง่ คนฉลาด คนเจ้าปัญญาแล้วทั้ง 96 ข้อ จงประเมินดูว่าตนเองอยู่ในจำพวกไหน ทำเครื่องหมายไว้แล้ว นับจำนวนรวมแต่ละประเภท แล้วหาอัตราส่วนระหว่างคนโง่ คนฉลาด คนเจ้าปัญญาที่มีอยู่ในใจตน

จากนั้นจงตั้งใจลดความโง่ พร้อมทั้งเพิ่มความฉลาดในใจตนให้มากขึ้น และพัฒนาจากความฉลาดสู่ความเจ้าปัญญาให้มากยิ่งๆขึ้นไป

คนเจ้าปัญญา
แล้วประเมินใหม่ทุกเดือน

ภายในหนึ่งปี ควรขจัดความโง่ให้สิ้นไปไม่เหลือซาก แล้วจะพบว่าชีวิตนี้มีคุณค่า และมีความหมายขึ้นตามลำดับ

Published in: on 2010/05/21 at 12:30 PM  Leave a Comment  

ว่าด้วยระบบธรรมะ

คนโง่

คนโง่ ปรับธรรมะเข้าหาคน
จึงได้คนจำนวนมากเดินตามธรรมะเทียม

คนฉลาด ปรับคนเข้าหาธรรมะ
จึงได้คนจำนวนน้อยอยู่รักษาธรรมะแท้

คนเจ้าปัญญา ปรับธรรมะและคนเข้าหากัน
ณ จุดแห่งประโยชน์สูงสุดที่เหมาะสมและเป็นไปได้
จึงได้คนจำนวนพอดีอยู่รักษาธรรมะที่ดีพอ

Published in: on 2010/05/16 at 8:08 PM  Leave a Comment  

ว่าด้วยความเป็นธรรม

คนโง่ ชอบเรียกหาความเป็นธรรม
จนบ่อยครั้งใช้กระบวนการที่ไม่เป็นธรรมในการเรียกหา
จึงยิ่งพาให้ห่างไกลความเป็นธรรม

คนฉลาด

คนฉลาด ชอบสร้างความเป็นธรรม
ปั้นแล้วปั้นอีก ปั้นอย่างไรก็ไม่เป็นธรรมแท้ แม้พยายามถึงที่สุด
เพราะความเป็นธรรมแท้ไม่ได้อยู่ในโลกแห่งทวิลักษณ์
จึงเป็นความหวังดีที่ล้มเหลวเรื่อยไป

คนเจ้าปัญญา ชอบประพฤติธรรม
ดำรงอยู่และดำเนินไปโดยธรรม
จึงได้สิทธิพิเศษโดยธรรม

Published in: on 2010/05/16 at 8:00 PM  Leave a Comment  

ว่าด้วยบัญญัติ

คนโง่ สร้างสมมติขึ้นมา
แล้วหลงอยู่ในสมมติที่ตนสร้างขึ้น
ถกเถียงเอาเป็นเอาตายกับสิ่งที่พวกตนบัญญัติขึ้น
จึงติดกับดักกรงมายาที่ดั่งจริง

คนฉลาด สร้างสมมติขึ้นมา
แล้วใช้สมมติเป็นเครื่องมือเอาประโยชน์ในสมมติคนอื่น
พัวพันในวงกตกรรม
จึงวนอยู่ในภาระรับผิดชอบที่ต้องชดใช้

คนเจ้าปัญญา

คนเจ้าปัญญา สร้างสมมติขึ้นมา
แล้วใช้สมมติเป็นกรอบสลายมวลสมมติ
จึงได้วิมุติ
เป็นอิสระแม้จากสมมติที่คงอยู่เดิมและที่ถูกสร้างขึ้น

Published in: on 2010/05/16 at 7:55 PM  Leave a Comment  

ว่าด้วยความสัมพันธ์ต่างมิติ

คนโง่

คนโง่ กลัวผี และหนีผี
จึงมีศัตรูเงาตามตัวตลอดเวลา

คนฉลาด เผชิญผี
จึงมีผีเป็นเพื่อน

คนเจ้าปัญญา เข้าใจจิตใจผีอย่างลึกซึ้ง
และยกระดับวิญญาณผีให้สูงส่ง
จึงได้ผีเป็นศิษย์มากมาย

Published in: on 2010/05/16 at 7:52 PM  Leave a Comment  

ว่าด้วยความสันโดษ

คนโง่ เอาสันโดษบำรุงความเกียจคร้าน
จึงตกต่ำ

คนฉลาด

คนฉลาด เอาสันโดษสรรหาคุณค่าและความพอดี
จึงบริหารเก่ง สำเร็จง่าย

คนเจ้าปัญญา เอาสันโดษเป็นมาตรการปล่อยวาง
จึงได้บุญมากและสำเร็จได้ด้วยบุญฤทธิ์

“สันโดษ” คือ ความยินดีพอใจตามมีตามได้ตามกำลังและความจำเป็นของตน

Published in: on 2010/05/16 at 7:47 PM  Leave a Comment  

ว่าด้วยความยิ่งใหญ่

คนโง่ เห็นว่าตนยิ่งใหญ่
จึงจมอยู่ในตัวตนอันกระจ้อยร่อย
ท่ามกลางเอกภพอันไร้ขอบเขต

คนฉลาด เห็นว่าธรรมชาติยิ่งใหญ่
หวาดกลัวและเทิดทูนธรรมชาติ
ส่วนใดที่ตนเข้าไม่ถึง จึงโยนไว้ในอุ้งหัตถ์ของภูติผีและพระเจ้า

คนเจ้าปัญญา

คนเจ้าปัญญา เห็นว่าความบริสุทธิ์ยิ่งใหญ่
เพราะทั้งตน ธรรมชาติและวิญญาณทั้งหลาย
ล้วนมีเป้าหมายสูงสุดที่ความบริสุทธิ์

Published in: on 2010/05/16 at 7:44 PM  Leave a Comment  

ว่าด้วยจิต

คนโง่

คนโง่ แม้เมื่อมีจิต ก็ไม่เห็นจิต
จึงไม่บริหารจิตใจตนแต่สัปดนไปบริหารคนอื่น
และมักขื่นขมที่ควบคุมคนอื่นไม่ได้

คนฉลาด เมื่อมีจิตก็เข้าใจจิตตนแม้จะไม่เห็นอยู่
จึงทู้ซี้ระวังรักษาและได้ประโยชน์บ้างตามกำลังสติสัมปชัญญะ

คนเจ้าปัญญา เมื่อมีจิตใจย่อมเห็นแจ่มแจ้งในจิตใจอยู่
รู้แจ้งพฤติของจิต และอำนาจแห่งใจ
จึงสามารถบริหารให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้เสมอ

Published in: on 2010/05/16 at 7:42 PM  Leave a Comment  

ว่าด้วยคุณค่าแท้

คนโง่ ยึดถือถ้อยคำ
จึงได้แต่ความจำอันฉาบฉวย

คนฉลาด

คนฉลาด ดูดซับความหมาย
จึงได้ความเข้าใจอันลึกซึ้ง

คนเจ้าปัญญา กลั่นคุณค่าแห่งความหมายเป็นคุณสมบัติแห่งตน
จึงได้พัฒนาการอันยิ่งใหญ่

Published in: on 2010/05/16 at 7:35 PM  Leave a Comment  

ว่าด้วยปัญญาสัมพันธ์

คนโง่ ยึดถือความรู้
จึงได้แต่แท่งเทียนที่ไร้แสง

คนฉลาด ยึดถือปัญญาญาณ
จึงได้แสงเทียนส่องทาง

คนเจ้าปัญญา

คนเจ้าปัญญา ยึดถือความบริสุทธิ์
จึงได้ประโยชน์จากแสงแห่งชีวิต

“ปัญญาญาณ” คือ ปัญญาที่เกิดความรู้ขึ้นจากความรู้สึกภายในลึกๆของเราเอง ว่าอะไรควรทำ ไม่ควรทำ เหมือนมีเสียงภายในคอยกระซิบบอก เป็นการหยั่งรู้ได้เองโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม และไม่ต้องใช้การไตร่ตรองใดๆ

Published in: on 2010/05/16 at 7:30 PM  Leave a Comment